Thursday, June 13, 2013

ระบบสื่อสารของ Windows

ระบบสื่อสารของ Windows


               โปรแกรม Windows 95/98 ได้พัฒนาระบบการสื่อสารโดยใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถติดต่อกับคอมพิวเตอร์หรือบุคคลอื่นได้สะดวกโดยอาจไม่ต้องใช้ โปรแกรมเสริมพิเศษต่าง ๆ เพราะ Windows 95/98 ได้พัฒนาโปรแกรมเกี่ยวกับระบบการสื่อสารให้เป็นคำสั่งมาตรฐานที่มีใช้อยู่ใน Windows 95/98 เลย โปรแกรมเกี่ยวกับระบบสื่อสารที่เป็นที่นิยมและใช้กันอยู่อย่างกว้างขวางใน Windows 95/98 มีหลายโปรแกรม แต่ในที่นี้จะขอแนะนำ โปรแกรม Network Neighborhood

Network Neighborhood

ใช้สำหรับการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์หลายเครื่องในสำนักงานเดียวกัน หรือที่เรียกว่า LAN เพื่อจะได้ถ่ายโอนข้อมูลหรือใช้โปรแกรมร่วมกันได้อย่างสะดวก ซึ่งจำเป็นต้องติดตั้งอุปกรณ์สำคัญคือ LAN Card ไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง และเชื่อมต่อสายรับ-ส่ง ข้อมูล ให้ต่อถึงกันหมดทุกเครื่อง

การใช้ Network Neighborhood เพื่อใช้ข้อมูลร่วมกัน


 
1. คลิกที่ไอคอน Network Neighborhood

 
2. จะปรากฏโปรแกรม Network Neighborhood คลิกที่ Entire Network

3. จะเข้าไปในส่วนของ Entire Network และผู้ใช้จะ สังเกตเห็นกลุ่มงานหรือ workgroup ต่าง ๆ ในเครือข่ายที่กำลังใช้งานอยู่ในขณะนั้น

4. คลิกเลือก Workgroup ตามต้องการ จะปรากฏชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย ที่ใช้งานอยู่ในขณะนั้น เช่นในที่นี้จะขอเข้าไปใช้ ข้อมูลของคอมพิวเตอร์ชื่อ Ryw

5. เมื่อคลิกเลือกเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ชื่อ Ryw จะปรากฏไฟล์หรือโฟลเดอร์ต่าง ๆ ที่ เครื่อง Ryw กำหนดการแชร์ไว้ (ใช้คำสั่ง Sharing…) ซึ่งถ้าเครื่อง Ryw ไม่ได้ทำการแชร์ ไว้ ผู้ใช้อื่น ๆ ก็จะไม่สามารถเห็นไฟล์หรือ โฟลเดอร์ใด ๆ

6. ในกรณีที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำการแชร์แบบ มีรหัสผ่านไว้ เมื่อผู้ใช้อื่นจะเข้าไปร่วมใช้ทรัพยากร จะปรากฏไดอะลอกบ็อกซ์ Enter Network Password ให้ผู้ใช้ใส่รหัสผ่านก่อนจึงจะสามารถเข้าไปยัง เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น ๆ ได้

7. จากขั้นตอนที่ 6 7.1 ถ้าผู้ใช้อื่นใส่รหัสผ่านไม่ถูกต้อง จะปรากฏไดอะลอกบ็อกซ์ แสดงข้อผิดพลาด และไม่อนุญาตให้เข้าไปใช้ทรัพยากรร่วม

7.2 ถ้าผู้ใช้อื่นที่ต้องการเข้าไปร่วมใช้ทรัพยากร ใส่รหัสผ่านถูกต้อง เครื่องดังกล่าวก็จะอนุญาต ให้เข้าไปยังระบบ ซึ่งในที่นี้ ก็คือสามารถผ่าน เข้าไปใช้ไฟล์ในไดร์ฟ C ของเครื่องชื่อ Ryw ได้ ซึ่งระดับของการใช้ ก็ขึ้นอยู่กับระดับการแชร์ ของเครื่องที่อนุญาตด้วยเช่นกัน

คำสั่ง tracert

คำสั่ง tracert

การใช้คำสั่ง tracert จะมีลักษณะการใช้งานคล้ายกับการ ping แต่แตกต่างกันตรงที่ ผลลัพธ์ที่แสดงออกมาจะเป็นเส้นทางที่ใช้ไปยังสถานที่นั้น ว่าได้ผ่านไปที่ใดบ้าง จนกว่าจะถึงสถานที่นั้น มีประโยชน์มากในกรณีที่วงจรสื่อสารเกิดความขัดข้อง เราสามารถทดสอบดูว่าเกิดความขัดข้องที่จุดไหนนั่นเอง

วิธีตรวจสอบ
1. เลือก Start -->Programs -->MS-DOS Prompt แล้วพิมพ์คำว่า tracert ตามด้วยชื่อเครื่อง ชื่อเว็บไซต์ หรือหมายเลข IP ของเครื่องที่จะทดสอบเส้นทาง ดังรูป



2. จะปรากฏผลลัพธ์ดังนี้



ซึ่งแสดงเส้นทางต่าง ๆ ว่าผ่านไปที่ใดบ้าง ก่อนถึง www.ku.ac.th ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของ ม.เกษตรศาสตร์ จนแจ้งข้อความว่า Trace complete.

วิธีการใช้คำสั่ง ping

PING

การ ping เป็นการทดสอบว่า เส้นทางสื่อสารจากเครื่องที่ใช้อยู่ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นที่ กำหนดในเครือข่าย ยังใช้การได้อยู่หรือไม่ โดยสาสามารถพิมพ์ชื่อเครื่อง หรือหมายเลข IPADDRESS ของเครื่องที่จะทดสอบ หรือเว็บไซต์ที่ต้องการทดสอบ

วิธีการใช้คำสั่ง ping


สำหรับเครื่องที่ใช้ Windows
วิธีที่ 1. ใช้ Dos prompt
1) โดย เลือก Start -->Programs -->MS-DOS Prompt แล้วพิมพ์คำว่า
ping ตามด้วย ชื่อเครื่องหรือหมายเลข IPAddress ของเครื่อง ตัวอย่างเช่น
เป็นการทดสอบเส้นทางระหว่างเครื่องที่ใช้กับเครื่องที่มี IP เป็น 203.151.239.2


เป็นการทดสอบเส้นทางระหว่างเครื่องที่ใช้กับเว็บไซต์ www.rayongwit.net

2) สังเกตผล
ถ้าผลเป็นแบบรูปที่ 1

รูปที่ 1
มีคำตอบว่า "Reply from 203.151.239.2 หมายความว่าเส้นทางสื่อสารระหว่างเครื่องที่ใช้กับเครื่อง www.rayongwit.net ปกติดี เครือข่ายระหว่างเครื่องทั้งสองนั้นเชื่อมต่อกันสมบูรณ์แล้ว
คำว่า 0% loss หมายความว่าเส้นทางสื่อสารไม่มีการสูญหายของข้อมูลเลย (ดี)
นอกจากนี้ ยังแสดงถึง เวลาที่ข้อมูลใช้ในการวิ่งไปยัง www.rayongwit.net มี 3 ค่า คือค่าต่ำสุด ค่าเฉลี่ย ค่าสูงสุด จากการทดสอบจำนวน 4 ครั้ง โดยมีหน่วยเป็น ms (เศษหนึ่งส่วนพันวินาที)

ถ้าผลเป็นแบบที่ 2


มีคำตอบว่า "Request timed out" แสดงว่าเครือข่ายระหว่างเครื่องที่ใช้งานกับเครื่องที่ ping ยังไม่เชื่อมต่อถึงกัน ควรตรวจสอบสายและ HUB ต่าง ๆ

วิธีที่ 2. เปิด command ของ Windows (Start , run , command) แล้วพิมพ์คำว่า ping ตามด้วยหมายเลข IPAdddress หรือชื่อเครื่องที่จะทดสอบ อ่านผลการทดสอบเช่นเดียวกัน ดังรูป



การทดสอบแบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง

การทดสอบเส้นทางสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย 2 เครื่อง ด้วยคำสั่ง ping แบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง จะใช้คำสั่งดังนี้
ping -t ตามด้วยชื่อเครื่องหรือหมายเลข IP ของเครื่องที่จะทดสอบ
เช่น ping -t 203.151.239.2 ดังรูป



และผลจากการใช้คำสั่งดังกล่าวจะได้ดังรูป



ซึ่งจะทำการทดสอบสายสื่อสารและแจ้งผลไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะกดแป้น CTRL+C เพื่อที่จะหยุดการทดสอบ

คำสั่ง Winipcgf

คำสั่ง Winipcgf

เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องในเครือข่าย จำเป็นต้องมีการตั้งค่า IP , Subnet Mask , GATEWAY และเมื่อตั้งค่าแล้ว สามารถทดสอบว่าค่าที่ตั้งไปนั้น ถูกต้องหรือไม่

วิธีทดสอบ
1. เปิด command windows โดย Start --> run จะปรากฏหน้าต่าง ดังนี้



พิมพ์ winipcfg แล้วเลือก OK

2. จะปรากฏหน้าต่าง



3. แสดงค่า IP , Subnet Mask และ Gateway ให้ตรวจสอบความถูกต้องได้ทันที

วิธีติดตั้ง LAN Card

วิธีติดตั้ง LAN Card


               Network Interface Card : NIC   หรือที่เรียกกันทั่ว ๆ ไปว่า แลนการ์ด (LAN Card)   เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ควบคุมการส่งข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ไปยังเครื่องอื่น ๆ  การติดตั้งจำเป็นต้องเสียบแลนการ์ดลงในช่องเสียบ (Slot)  ซึ่งอยู่ภายในคอมพิวเตอร์

เตรียมเครื่องก่อนติดตั้งแลนการ์ด


1. ปิดโปรแกรมให้หมด จากนั้นให้ Shut Down เครื่อง
2. ปิดปุ่มสวิตซ์ (Power Switch) และถอดปลั๊กไฟออกให้หมด
3. เสียบแลนการ์ดลงในช่องเสียบ ให้ถูกต้องกับชนิดของแลนการ์ดและช่องเสียบ
4. ต่อสายเคเบิ้ลเพื่อเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันเป็นระบบเครือข่าย

ขั้นตอนการติดตั้ง LAN Card


 
1. คลิกปุ่ม Start 4 Settings  4 Control Panel
 และดับเบิลคลิกไอคอน Network

 
2. ที่แท็บ  Configuration 
คลิกปุ่ม  Add…

3. จะปรากฏไดอะลอกซ์บอกซ์ Select
Network Component Type ให้คลิกเลือก
Adapter และคลิกปุ่ม Add…

4. คลิกเลือก แลนการ์ดรุ่นที่ต้องการ
เช่น Realtek  Realtek RTL8019 PnP
LAN adapter or compatible 
แล้วคลิก ปุ่ม OK

5. จะได้ LAN Card ติดตั้งโดยปรากฏขึ้นในช่อง
The following network components are 
installed: 
จากนั้น คลิกปุ่ม Add… อีกครั้ง เพื่อติดตั้ง
Protocol NetBEUI
เพื่อให้ใช้ทรัพยากรร่วมกันได้ใน workgroup

6. จะปรากฏไดอะลอกซ์บอกซ์ Select
Network Component Type ให้คลิกเลือก
Protocol และคลิกปุ่ม Add…

7. คลิกเลือก Microsoft และ NetBEUI
 แล้วคลิก ปุ่ม OK

8. จะได้ Protocol  NetBEUI ติดตั้งโดยปรากฏ
ขึ้นในช่อง The following network components 
are installed:  จากนั้น คลิกปุ่ม Add… อีกครั้ง
เพื่อติดตั้ง Protocol  TCP/IP

9. จะปรากฏไดอะลอกซ์บอกซ์ Select
Network Component Type ให้คลิกเลือก
Protocol และคลิกปุ่ม Add…

10. คลิกเลือก Microsoft และ TCP/IP
 แล้วคลิก ปุ่ม OK

11. จะได้ Protocol  NetBEUI ติดตั้งโดยปรากฏ
ขึ้นในช่อง The following network components 
are installed:  จากนั้นคลิกแท็บ Identification
เพื่อระบุชื่อและกำหนด workgroup

12. พิมพ์ชื่อคอมพิวเตอร์ (Computer name)
และชื่อกลุ่มงาน (Workgroup) ที่ต้องการ
ชื่อของคอมพิวเตอร์ต้องไม่ซ้ำกัน ในกลุ่มงาน
เดียวกัน  และยังสามารถพิมพ์คำอธิบายได้อีกด้วย 
ในช่อง Computer Description ( บุคคลอื่น ๆ บน
เครือข่ายจะเห็นคำอธิบายนี้ได้เมื่อดูที่รายการของ
คอมพิวเตอร์บนเครือข่าย ) 
… แล้วจึงกดปุ่ม OK 

13.  จะปรากฏไดอะลอกบ็อกซ์  Copying Files
        ในการถามหา แผ่น CD- ROM โปรแกรม
         Windows95/98 แล้วแต่กรณี

14. จากนั้น จะปรากฏไดอะลอกบ็อกซ์เพื่อ
      บอกว่าต้องเริ่มรันวินโดวส์อีกครั้ง
      การติดตั้งดังกล่าวจึงจะมีผล 
      คลิกปุ่ม Yes

การเดินสายแบบริง

ระบบแลน
แลนมาจากคำว่า LAN(Local Area Network) คำแปลเป็นตามไทยตามศัพท์คอมพิวเตอร์ฉบับราชบัณฑิตยสถานว่า "ข่ายงานบริเวณเฉพาะที่" แต่บางครั้งก็มีผู้ใช้คำว่า "ระบบเครือข่ายท้องถิ่น" ความหมายก็คือระบบที่เชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในบริเวณเดียวกันด้วยความเร็วสูง ระบบแลนถือว่าเป็นระบบเครือข่ายพื้นฐานสำหรับการใช้งานโปรโตคอลต่างๆ ในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ รวมทั้งโปรโตคอล TCP/IP ด้วย 
เนื่องจากระบบแลนเป็นระบบที่เชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์เครือข่ายเข้าด้วยกัน โดยการใช้สายสัญญาณหรือที่เราเรียกว่าสายแลนต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง ดังนั้นการแบ่งประเภทของแลนเราจะแบ่งตามวิธีการเชื่อมต่อหรือวิธีการเดินสายสัญญาณนั้นเอง
วิธีการเดินสายแลน
เมื่อจะส่งข้อมูลถึงกันก็ต้องต่อสายเข้าหากัน วิธีการต่อสายเชื่อมระหว่างอุปกรณ์ในระบบแลนนั้นเราจะเรียกว่า "การเดินสายแลน" โดยที่นิยมกันจะแบ่งเป็น 3 วิธีครับคือ
·     เดินสายแบบบัส
·     เดินสายแบบริง
·     เดินสายแบบสตาร์
 การเดินสายแลนทั้ง 3 วิธี จะใช้อุปกรณ์และวิธีการต่างกัน และมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ปัจจุบันเราจะพบการเชื่อมต่อแบบสตาร์ มากที่สุดเพราะ สามารถตรวจสอบหาข้อผิดพลาดได้ง่าย ระบบตัวอย่างของเราก็ใช้วิธีการเดินสายแบบสตาร์เหมือนกัน แต่วิธีการเดินสายแบบอื่นก็น่าสนใจเช่นกัน เรามาลองทำความเข้าใจถึงวิธีเดินสายในแต่ละแบบกันครับ เริ่มกันที่การเดินสายแบบบัสก่อน
การเดินสายแบบบัส 
วิธีการเดินสายแบบบัสนี้ เหมือนกับการวางถนนหลักแล้วมีซอยแยกเข้าบ้าน ดังรูปที่ 3 โดยจะวางสายแลนเดินเป็นแกนกลางที่เรียกว่าบัสหรือแบ็กโบนเป็นถนนหลัก แล้วตามจุดต่างๆ ระหว่างกลางของแบ็คโบนจะมีสายเชื่อมต่อไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์เหมือนกับซอยแยกเข้าหาเครื่อง ที่ปลายสายทั้งสองข้างจะมีเทอร์มิเนเตอร์ต่ออยู่
รูปที่ 3 การเดินสายแบบบัส
 สายแลนที่ใช้ในการเดินสายแบบบัสจะมีอยู่สองชนิดคือ 
·     ชนิดบาง(thin cable) มีความยาวได้สูงสุด 200 เมตร
·     ชนิดหนา(thick cable) เดินได้ความยาวสูงสุด 500 เมตร
สายชนิดบางมักจะใช้เดินภายในอาคาร ส่วนสายชนิดหนาจะใช้เดินระหว่างอาคารหรือเชื่อมระหว่างชั้นต่างๆ ข้อดีของการเดินสายแบบบัสนี้คือ ติดตั้งง่าย อุปกรณ์ราคาถูก ไม่ต้องใช้อุปกรณ์รวมสัญญาณ(HUB) สามารถเดินสายได้ระยะทางไกล และสามารถติดตั้งอุปกรณ์ทวนสัญญาณ(repeater) เพื่อเพิ่มระยะทางในการเดินสายได้
แต่มีข้อเสียคือถ้าเกิดข้อผิดพลาดในสายสัญญาณ หรือเกิดการขาดที่จุดหนึ่งจุดใดบนบัส จะทำให้ทั้งระบบไม่สามารถให้งานได้ และการตรวจสอบหาจุดเสียทำได้ยาก ภายหลังจึงไม่นิยมการเดินสายแบบบัสนัก
การเดินสายแบบริง
รูปที่ 4 การเดินสายแบบริง
การเดินสายแบบริง(ring) หรือแบบวงแหวนนี้จะเดินสายเป็นวง จากเครื่องแรกไปยังเครื่องสุดท้ายและวนกลับมายังเครื่องแรกอีกครั้ง ดังรูปที่ 4เทคนิค การเดินสายแบบนี้มีในระบบเครือข่ายมานานแล้วแต่ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมนัก เนื่องจากจุดหนึ่งจุดใดในวงขาดจะทำให้เครื่องอื่นไม่สามารถส่งข้อมูลได้และ อุปกรณ์มีราคาค่อนข้างสูง แต่อย่างไรก็ตามการเชื่อมต่อวิธีนี้เป็นการส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงวิธี หนึ่ง
การเดินสายแบบสตาร์
ระบบแลนที่เชื่อมต่อในลักษณะสตาร์นั้นสามารถพบเห็นได้โดยทั่วไป คือระบบที่คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมีสายแลนเชื่อมไปที่ฮับเป็นตัวกลางและถ้าเดินสายตรงออกจากฮับไปยังเครื่องที่ตำแหน่งต่างๆ จะมีลักษณะคล้ายดาว จึงเรียกว่าการเชื่อมต่อแบบสตาร์ ดังรูปที่ 5
รูปที่ 5 รูปการเชื่อมต่อแบบสตาร์
ด้วยการเดินสายสัญญาณแยกแต่ละเครื่องไปยังฮับ ดังนั้นถ้าสายสัญญาณเส้นหนึ่งเส้นใดขาด ก็จะมีผลต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องที่ต่ออยู่เพียงเครื่องเดียว เครื่องอื่นสามารถยังสามารถใช้งานได้ปรกติ ทำให้การบำรุงรักษาง่าย และปัจจุบันการเชื่อมต่อในลักษณะนี้สามารถทำความเร็วสูงได้ตั้งแต่ 10 เมกกะบิตต่อวินาที ไปจนถึง 1 กิกะบิตต่อวินาที ในขณะที่ราคาอุปกรณ์ถูกลงเรื่อยๆ ทำให้ได้รับความนิยมอย่างสูง
การเชื่อมต่อแบบสตา ร์นี้ เราสามารถวางตำแหน่งของเครื่องและเดินสายอย่างไรก็ได้ไม่จำเป็นต้องวางให้ เรียงตามลำดับอย่างการเดินสายแบบบัสหรือแบบริง สายแลนแต่ละเส้นเรายาวเท่าไรก็ได้และไม่จำเป็นต้องยาวเท่ากัน โดยสายแลนแต่ละเส้นมีความยาวได้ไม่เกิน 100 เมตร(ตามคุณสมบัติ) แต่ในการใช้งานจริงมักจะใช้ความยาวไม่เกิน 85 เมตร และมักจะเดินโดยคำนึงถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความสวยงายด้วย ตัวอย่างการเชื่อมต่อวงแลนในที่ทำงานจะมีลักษณะดังรูปที่ 6 ซึ่งเรามักจะวางฮับไว้ที่มุมห้องแล้วเดินสายแลนลอดใต้พื้นยก หรือใต้หลังคาเพื่อความเรียบร้อยและสวยงาม
รูปที่ 6 แสดงตัวอย่างการเชื่อมโยงระบบแลนแบบสตาร์
รายละเอียดการเดินสายของระบบตัวอย่าง
เมื่อเดินสายสัญญาณเชื่อมโยงเครื่องแต่ละเครื่องแล้ว ให้เราวาดแผนผังของระบบเก็บไว้เพื่อประโยชน์ในการดูแลระบบต่อไป โดยจะนิยมเขียนแผนผังในลักษณะบัสโดยไม่เขียนรูปฮับ ซึ่งดูง่ายกว่า ดังรูปที่ 7
รูปที่ 7 การเขียนแผนผังเครือข่ายในลักษณะบัส
การเขียนแผนผังใน ลักษณะบัสนี้จะเขียนเส้นตรงแทนระบบเครือข่ายและมีเส้นย่อยลากจากเส้นหลักไป ยังเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่างๆ โดยไม่เขียนรูปฮับ ระบบเครือข่ายรุ่นก่อนๆ การเขียนแผนผังเครือข่ายลักษณะนี้จะหมายการเชื่อมต่อในลักษณะบัสจริงๆ แต่ในปัจจุบันจะมักหมายถึงการเชื่อมต่อแบบสตาร์โดยที่มีฮับเป็นศูนย์กลางใน การเชื่อมต่อ
 

แนวโน้มในอนาคตของระบบ LAN

 ผลที่ได้จากการทำงานของระบบ LAN
http://images03.olxthailand.com/ui/3/00/11/47179911_2.jpg
          การจัดการแฟ้มข้อมูล (File managent) เป็นการแบ่งใช้แฟ้มข้อมูล (Share file) และสอบถามแฟ้มข้อมูล (Transfer file) การใช้โปรแกรมร่วมกัน (Share application)การใช้อุปกรณ์ภายนอกร่วมกัน (Share Peripheral devices) เป็นเครื่องพิมพ์, ซีดีรอม, เครื่องสแกน,โมเด็มและเครื่องอ่านเขียนเทป และติดต่อกับผู้ใช้คนอื่น ๆ ในเน็ตเวิร์คเป็นค่าตารางเวลาของกลุ่ม (Group Scheduling)รับ และส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ จัดการประชุมแบบอิเล็กทรอนิกส์ และเล่นเกมแบบเน็ตเวิร์ค และผลที่ได้จากระบบแลนนี้จะสามารถทำทุกอย่างทัดเทียมกับเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ หรือมินิคอมพิวเตอร์ในราคาที่ต่ำกว่า ผู้ใช้สามารถแบ่งปันทรัพยากร และสารสนเทศของคอมพิวเตอร์ และพวกเขายังสามารถทำงานรวมกันในโครงการหรืองานที่ต้องมีการประสานงาน และการติดต่อสื่อสาร แม้จะไม่ได้อยู่บริเวณใกล้กันก็ตาม นอกจากนี้ถ้าเครือข่ายเกิดขัดข้อง คุณก็ยังคงทำงานต่อไปด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ของเขาถ้าเกิดการผิดปกติจะทำให้ งานในแผนกหรือบริษัทของเขาหยุดชะงัก แต่แลนสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ คือ
  1. แบ่งปันการใช้ไฟล์โดยการสามารถใช้ข้อมูลเดียวกันถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์หลาย ๆตัวได้
  2. การโอนย้ายไฟล์ โดยการโอนสำเนาจากเครื่องหนึ่งไปยังเครื่องหนึ่งโดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนดิสเกตต์
  3. เข้าถึงข้อมูล และไฟล์ โดยการจะให้ใครก็ได้ ใช้งานซอฟต์แวร์บัญชี หรือ แอปพลิเคชั่นแลน ทำให้คนสองคนใช้โปรแกรมชุดเดียวกันได้
  4. การป้องกันการป้อนข้อมูลเข้าในแอปพลิเคชั่นพร้อมกัน
  5. แบ่งปันการใช้เครื่องพิมพ์ โดยการใช้แลน เครื่องพิมพ์ก็จะถูกแบ่งปันการใช้ตามสถานีหลาย ๆเครื่องถ้าทั้งหมดที่ต้องการคือ การใช้ Printerร่วมกัน

  แนวโน้มในอนาคตของระบบ LAN
          แนวโน้มในอนาคตของระบบ LAN ต่อไปนี้สิ่งที่คุณควรทราบระบบปฏิบัติการแลนหลัก ๆ ล้วนแต่เร็วพอสำหรับความต้องการใด ๆ ในทางปฏิบัติขององค์การ ความเร็วเป็นเพียงปัจจัยส่วนน้อยในการเลือกระบบปฏิบัติการเครือข่าย ระบบปฏิบัติการกำลังมีความเข้ากันได้และทำงานได้มากขึ้น Net Ware ครองส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดและห่างจากคู่แข่งมาก Windows NT ของ Microsoft เป็นผู้ท้าชิงที่น่ากลัวสำหรับ Net Were ผลิตภัณฑ์บนฐานของ Dos เช่น LANtastic และ POWERlan มีอนาคตที่ไม่สดใส เนื่องจากการทำเครือข่ายถูกสร้างไว้ใน Microsoft Windowsขนาดของตลาด และศักยภาพในการทำกำไรทำให้การแข่งขันระหว่างผู้ค้าระบบปฏิบัติการแลนเป็นไป อย่างดุเดือด Novell ผู้ซึ่งครอบส่วนแบ่งตลาด 70 เปอร์เซ็นต์ของเครือข่ายสำหรับพิธี ไม่ใช้ผู้เล่นเพียงคนเดียวอีกต่อไป แม้ว่าบริษัทที่ขายระบบปฏิบัติการเครือข่ายอื่นยังไม่สามารถแย่งส่วนแบ่ง ตลาดจาก Novell ได้มากนักทุกรายก็กำลังทุ่มเทเงินให้กับทำการตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตน เองโดยมี Microsoft เป็นผู้นำ
          ในปี 1989 ผู้ค้าระบบปฏิบัติการเครือข่าย ได้เติมเชื้อเพลิงให้กับการเติบโตของเครือข่ายด้วยการประกาศและส่งมอบ ผลิตภัณฑ์ที่ทำตามมาตรฐานเปิดเทนโปรโตดอลเฉพาะตัว ATOT, Digital และ 3COM นำอุตสาหกรรมด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความสามารถในการทำงานร่วมกันตามมาตรฐานเปิด แทนที่จะต้องลงบันทึกเข้าและควบคุมแต่ละบัญชีด้วยมาตรฐานการสื่อสารเฉพาะตัว พวกเขาล่อใจผู้ซื้อด้วยซอฟต์แวร์ที่ทำงานตามมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับใน ระดับชาติและนานาชาติในทศวรรษ 1990 บริษัทในตลาดที่ยังคงให้ผู้ซื้อด้วยความเข้าใจกันและความสามารถในการทำงาน ร่วมกันเพิ่มขึ้น แนวโน้มนี้ไปไกลจนกระทั่งเดี๋ยวนี้บริษัทไม่เพียงสนับสนุนมาตรฐานเปิดเท่า นั้น พวกเขายังส่งซอฟต์แวร์สำหรับโพรโตคอล เฉพาะตัวของกันและกัน Microsoft ได้ยอมรับเอาโพรโตคอล IPX ของ Novell เป็นโพรโตคอลเครือข่ายโดยปริยายสำหรับ Windows NT Performance Technology และ Artisoft ได้กลายเป็นไดล์เอนต์สำหรับระบบปฏิบัติการเครือข่ายทุกตัว และ Novell กำลังรุกไล่การเชื่อมต่อของ UNIX
          ในทางปฏิบัติ การสนับสนุนหลายโพรโตคอลหมายความว่า ผู้บริหารสามารถปรับแต่งพีซีบนเครือข่ายเพื่อให้ไดร์ฟ F: ของ Dos เป็นไฟล์เซิร์ฟเวอร์ของแต่ละเครื่อง ความสามารถนี้มีให้ใช้แล้วในปัจจุบัน แต่ล้วนประกอบต่าง ๆ ต้องถูกรวมเข้าด้วยกันอย่างระมัดระวัง
          ความสามารถในการทำงานร่วมกันและความยืดหยุ่นที่ปรับปรุงขึ้นเป็น เป้าหมายหลักทางการตลาดและทางเทคโนโลยี สำหรับบริษัทซอฟต์แวร์เครือข่ายในกลางทศวรรษ 90 เช่นเดียวกับที่คุณสามารถผสมอแดปเตอร์ Ethernet จากผู้ค้าต่างกันได้ คุณจะสามารถผสมส่วนประกอบของระบบปฏิบัติการต่าง ๆ และเชื่อมโยงเซิร์ฟเวอร์ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการต่าง ๆ และเชื่อมโยงเซิร์ฟเวอร์ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการต่าง ๆ และเชื่อมโยงที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการต่างกันบนเครือข่ายเดียวกัน ทุกตัวให้บริการแก่ไคลเอนต์เดียวกัน
          ในปัจจุบันนี้ ระบบเครือข่ายแลนได้เป็นที่รู้จัก และนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายตาม office ของบริษัทต่าง ๆ เพื่อประหยัดในการลงทุนซื้อเครื่องปริ้นเตอร์, ซีดีรอม, โมเด็ม, เครื่องโทรสาร และรวมไปถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะสามารถแบ่งปันกันใช้ได้ บริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์ที่ใช้ในระบบแลน ต่างก็แข่งขันกันในตลาดคอมพิวเตอร์ต่างก็พัฒนาให้มีคุณภาพ และประสิทธิภาพให้ดีมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม เราก็ควรจะรู้จัก และเข้าใจในระบบแลนให้ดีเสียก่อน ก่อนที่จะติดตั้งระบบแลนเองบ้าง เพื่อจะได้คุณภาพ และประสิทธิภาพตามที่เราต้องการ

การเชื่อมโยงเครือข่ายของระบบ LAN

         ใน ปัจจุบันมีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้งานในหน่วยงานต่าง ๆ มากมาย ซึ่งการนำคอมพิวเตอร์เข้ามานี้เป็นส่วนช่วยให้การทำงานในหน่วยงานต่าง ๆ สามารถทำงานได้อย่างเป็นระบบ และสามารถพัฒนาการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้นี้ในหน่วยงานต่าง ๆ ก็เริ่มมีการพัฒนาขึ้นแทนที่จะใช้ในลักษณะหนึ่งเครื่องต่อหนึ่งคน ก็ให้มีการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ และข้อมูลต่าง ๆ ร่วมกัน โดยนำคอมพิวเตอร์มาต่อเชื่อมกัน ซึ่งเราเรียกสิ่งนี้ว่า "ระบบแลน" ความจริงระบบแลนนี้ก็ไม่ได้เป็นสิ่งแปลกใหม่อะไร เพราะถูกนำมาใช้งานเป็นเวลานานแล้ว แต่จะจำกัดการใช้งานอยู่เฉพาะในกลุ่มคนบางกลุ่มเท่านั้น แต่ในปัจจุบันระบบแลนถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น ดังนั้นการใช้งานในระบบแลนซึ่งมีผู้ใช้มากขึ้น จำเป็นจะต้องมีการจัดระบบการใช้งาน และผู้ใช้จำเป็นจะต้องมีความรู้ในระบบแลนที่ตนเองใช้อยู่พอสมควร ซึ่งระบบแลนที่เป็นที่นิยมในประเทศไทย และทั่วโลก คือ ระบบแลนของเน็ตแวร์ (NetWare)
http://www.udomsuksa.ac.th/Latphrao/Knowledge/Technology/Internet/lan_files/mc190_149_2.gif
          ในรายงานเล่มนี้จะอธิบายเกี่ยวกับระบบแลนและวิธีการเชื่อมโยง เครือข่ายระบบแลนโดยจะกล่าวถึง ความหมาย วัตถุประสงค์ ผลที่ได้จากการทำงานและแนวโน้มในอนาคต รวมทั้งซอฟต์แวร์ที่ใช้ในระบบแลน
          หลังจากที่ได้ศึกษาค้นคว้าเพื่อการนำเสนอรายงานฉบับนี้แล้ว ผู้เขียนได้รับความรู้ และ ความเข้าใจของการทำงานของเครือข่าย LAN โอกาศนี้ขอขอบพระคุณห้องสมุดของ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตเทคนิคกรุงเทพฯ ที่ได้ให้ความสะดวกในการศึกษาค้นคว้าเนื้อหาของ รายงานฉบับนี้จนลุล่วงไปด้วยดี
          ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ได้มีการนำมาใช้งานอย่างกว้างขวาง ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าคอมพิวเตอร์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันแล้ว ก็ได้ แต่การใช้งานคอมพิวเตอร์ ในลักษณะ Stand Alone หรือการใช้งานคอมพิวเตอร์ โดยผู้ใช้หนึ่งคนหนึ่งคนต่อเครื่องหนึ่งเครื่อง ก็ยังพบปัญหาต่างๆ อยู่ เช่น ราคาของเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ประกอบต่างๆ มีราคาแพง การใช้ข้อมูลไม่สวามารถใช้ร่วมกันได้ ฯลฯ ดังนั้นจึงมีความคิดที่จะนำคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องมาต่อเพื่อใช้งานร่วมกัน ซึ่งจะทำให้สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาะมากขึ้น และยังเป็นการแก้ปัญหาต่างๆ ที่ผู้ใช้ประสบอยู่
          การเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันเป็นระบบเครือข่ายเน็ต เวิร์ก จึงมีการนำมาใช้กันมากขึ้นซึ่งจะแบ่งได้เป็น 3 ระบบ คือ ระบบเครือข่ายเน็ตเวิร์คกระยะไกล (Wide Area Network หรือ WAN) ระบบเครือข่ายเน็ตเวิร์คกระยะกลาง (Metropolitan Area Network หรือ MAN) และระบบเครือข่ายเน็ตเวิร์คระยะใกล้ (Local Area Network หรือ LAN) ในที่นี้จะกล่าวถึงระบบ LAN เพียงระบบเดียว ซึ่งระบบนี้เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น ตามอาคารสำนักงานทั่วไป หรือหน่วยงานราชการต่าง ๆ เป็นต้น ระบบเน็ตเวิร์คระยะใกล้ หรือ LAN สามารถติดตั้งได้ง่าย ส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูง มีข้อผิดพลาดน้อย และลงทุนน้อยกว่าระบบเน็ตเวิร์ค ระยะไกล และ ระยะกลาง ซึ่งทั้ง 2ระบบจะต้องลงทุนสูงเนื่องจากเป็นระบบใหญ่ใช้ติดต่อกันในระดับประเทศเช่น การสื่อสารระหว่างประเทศ เป็นต้น 1. ความหมายของระบบ LAN
          ย่อมาจาก Local Aria Network ซึ่งแปลได้ว่า “ระบบเครือข่ายขนาดเล็ก” ที่ต้องประกอบด้วย Server และ Client โดยจะต้องมีคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการและผู้ใช้โดยที่ผู้ให้บริการซึ่งเป็น Server นั้น จะเป็นผู้ควบคุมระบบว่าจะให้การทำให้การทำงานเป็นเช่นไร และในส่วนของ Server เองจะต้องเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสถานะภาพสูง เช่นทำงานเร็ว สามารถอ้างหน่วยความจำได้มาก มีระดับการประมวลผลที่ดี และจะต้องเป็นเครื่องที่จะต้องมีระยะการทำงานที่ยาวนาน เพราะว่า Server จะถูกเปิดให้ทำงานอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง

2. วัตถุประสงค์ของระบบ LAN
          ระบบ LAN ซึ่งเป็นระบบเครือข่ายแบบหนึ่งที่นิยมใช้กันในวงที่ไม่ใหญ่โตนัก โดยจะมีคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ต่อเข้าเพื่อขอใช้บริการ ดังนั้นในระบบ LAN จึงเป็นลักษณะที่ผู้ใช้หลายบุคคลมาใช้ข้อมูลร่วมกันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะมีประโยชน์ต่างๆ ตามหัวข้อต่อไปนี้
    1. แบ่งการใช้แฟ้มข้อมูล
    2. ปรับปรุงและจักการแฟ้มข้อมูลได้ง่าย
    3. แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกันได้สะดวกรวดเร็วขึ้น
    4. สามารถใช้แฟ้มข้อมูลที่อยู่ห่างไกลได้อย่างรวดเร็ว
    5. การแบ่งปันการใช้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องพิมพ์ โมเด็ม CD-ROM ฯลฯ
    6. การแบ่งปันการใช้โปรแกรมซอฟต์แวร์
    7. ประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
    8. ควบคุมและดูแลรักษาข้อมูลได้ง่าย
    9. สามารถรวมกลุ่มผู้ใช้ ข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายและรวดเร็ว
    10. เพื่อการติดต่อสื่อสาร ของผู้ใช้เช่น บริการ Email ,Talk ฯลฯ
          ดังนั้น ระบบ LAN จึงเป็นที่นิยมกันในส่วนของ บริษัท สถานศึกษา และหน่วยงาน ต่างๆ มากมาย ซึ่งจะให้ผลที่คุ้มค่าในระยะยาวนาน

3. การเชื่อมโยง เครือข่ายของระบบ LAN
          มีอยู่หลายวิธีด้วยกัน แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงเพียง โครงข่ายของระบบเครือข่าย (Topology) และ โพรโตคอล ที่ใช้ในระบบ LAN และจะกล่าวถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ LAN และซอฟต์แวร์ ที่ใช้ในระบบ LAN มีดังต่อไปนี้
    3.1 โครงข่ายของระบบเครือข่าย(Topology)
    3.2 โพรโตคอลที่ใช้ในระบบ LAN
    3.3 อุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ LAN
    3.4 ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในระบบ LAN
    3.1 โครงข่ายของระบบเครือข่าย (Topology)
              เป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายของระบบ LAN วิธีหนึ่ง ซึ่งนิยมใช้กันแพร่หลายสามารถแบ่งออกเป็น 3 แบบด้วยกัน คือ
      3.1.1 แบบดาว (Star)
      3.1.2 แบบวงแหวน (Ring)
      3.1.3 แบบบัส และ ทรี (Bus and Tree)

      3.1.1 แบบดาว (Star)
                ในโทโปโลยี แบบดาว นั้นจะเป็นลักษณะของการต่อเครือข่ายที่ Work station แต่ละตัวต่อรวมเข้าสู่ศูนย์กลางสวิตซ์ เพื่อสลับตำแหน่งของเส้นทางของข้อมูลใด ๆ ในระบบ ดังนั้นใน โทโปโลยี แบบดาว คอมพิวเตอร์จะติดต่อกันได้ใน 1 ครั้ง ต่อ 1 คู่สถานีเท่านั้น เมื่อสถานีใดต้องการส่งข้องมูลมันจะส่งข้อมูลไปยังศูนย์กลางสวิทซ์ก่อน เพื่อบอกให้ศูนย์กลาง สวิตซ์มันสลับตำแหน่งของคู่สถานีไปยังสถานีที่ต้องการติดต่อด้วย ดังนั้นข้อมูลจึงไม่เกิดการชนกันเอง ทำให้การสื่อสารได้รวดเร็วเมื่อสถานีใดสถานีหนึ่งเสีย ทั้งระบบจึงยังคงใช้งานได้ ในการค้นหาข้อบกพร่องจุดเสียต่างๆ จึงหาได้ง่ายตามไปด้วย แต่ก็มีข้อเสียที่ว่าต้องใช้งบประมาณสูงในการติดตั้งครั้งแรก

      3.1.2 แบบวงแหวน (Ring)
                ในโทโปโลยี(รูปแบบการเชื่อมต่อ) แบบวงแหวน(Ring) นั้น ได้ถูกออกแบบให้ใช้ Media Access Units (MAU) ต่อรวมกันแบบเรียงลำดับเป็นวงแหวน แล้วจึงต่อ คอมพิวเตอร์ (PC) ที่เป็น Workstation หรือ Server เข้ากับ MAU ใน MAU 1 ตัวจะสามารถต่อออกไปได้ถึง 8 สถานี เมื่อสถานีถัดไปนั้นรับรู้ว่าต้องรับข้อมูล แล้วมันจึงส่งข้อมูลกลับ เป็นการตอบรับ เมื่อสถานีที่จะส่งข้อมูลได้รัยสัญญาณตอบรับ แล้วมันจึงส่งข้อมูลครั้งแรก แล้วมันจะลบข้อมูลออกจากระบบ เพื่อให้ได้ใช้ข้อมูลอื่นๆ ต่อไป ดังนั้นทุกสถานีบน โทโปโลยี วงแหวนจะได้ทำงานทั้งหมดซึ่งจะคอยเป็นผู้รับและผู้ส่งแล้วยังเป็นรีพีทเตอร์ ในตัวอีกด้วย ข้อมูลที่ผ่านไปแต่ละสถานี นั้น ข้อมูลที่เป็นตำแหน่งที่อยู่ตรงกับ สถานีใด สถานีนั้นจะรับข้อมูลเก็บไว้ แต่มันจะไม่ลบข้อมูลออกจากระบบ มันยังคงส่งข้อมูลต่อไป ดังนั้นผู้ส่งข้อมูลครั้งแรกเท่านั้นที่จะเป็นผู้ลบข้อมูลออกจากระบบ ครั้นเมื่อสถานีส่ง TOKEN มาถามสถานีถัดไปแล้วแต่กลับไม่ได้รับคำตอบ สถานีส่ง TOKEN จะทวนซ้ำข้อมูลเป็นครั้งที่สอง ถ้ายังคงไม่ได้รับคำตอบ จึงส่งข้อมูลออกไปได้ เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหาที่ไม่ให้ระบบหยุดชะงักการทำงานลงของระบบ เนื่องจากสถานีหนึ่งเกิดการเสียหาย หรือชำรุด ระบบจึงยังคงสามารถทำงานต่อไปได้

      3.1.3 แบบบัส (Bus)
                ในโทโปโลยี แบบบัส และทรี (Bus and Tree) นั้นได้มีการทำงานที่คล้ายกันกล่าวคือ แบบบัส จะมีเคเบิลต่อถึงกันแบบขนาน ของแต่ละโหนด ส่วนแบบทรีนั้น จะมีการต่อแยกออกเป็นสาขาออกไปจากเคเบิลที่ใช้แบบบัสนั้นเอง ดังนั้นเมื่อมีการส่งข้อมูลจากโหนดใดทุกๆ โหนดบนระบบข้อมูลจะเข้าถึงได้ เนื่องจากอยู่บนเส้นทางสื่อสารเดียวกัน ในการส่งข้อมูลนั้น จะส่งเป็นเฟรม ข้อมูลซึ่งจะมีที่อยู่ของผู้รับติดไปด้วย เมื่อที่อยู่ผู้รับตรงกับ ตำแหน่งของโหนดใดๆ บนระบบ โหนดนี้จะรับข้อมูลเข้าไป และส่งข้อมูลมาพร้อมกันนั้นจะเกิดการชนกันของข้อมูล แล้วจะสุ่มเวลาขึ้นใหม่เพื่อส่งข้อมูลต่อไป ในการสื่อสารตามมาตรฐาน 802.4 นั้นมีด้วยกัน 3 แบบคือ แบบที่ 1 มีความเร็ว 1 Mbps ใช้สายข้อมูลแบบโคแอกเชียล 75 โอห์ม และสายเคเบิลหลักจะต้องไม่มีการต่อแยกแขนงออกไป ในแบบที่ 2 ซึ่งเรียกกันว่าแบบเบสแบนด์นั้นจะมีความเร็ว 5-10 Mbps ใช้สายแบบเดียวกับแบบที่ 1 แต่สัญญาณภายในจะเข้ารหัสแบบ FSK และแบบที่ 3 หรือ แบบบรอดแบนด์ จะใช้สายทรังก์ ซึ่งสามารถใช้ได้กับความเร็ว 1,5 และ 10 Mbps ซึ่งสัญญาณภายในสายจะเป็นแบบ AM นั้นเอง

    3.2 โพรโตคอลที่ใช้ในระบบ LAN
              โพรโตคอล คือรูปแบบของการสื่อสารของเครือข่าย คอมพิวเตอร์ ที่ทำให้ Software มีความเข้ากันได้กับ Hardware โพรโตคอลนั้นได้ถูกกำหนดให้เป็นมาตรฐานโดย ISO ซึ่งเป็นโมเดลแบ่งออกได้ 7 ระดับคือ PHYSICAL, DATALINK, NETWORK, TRANSPORT, SESSION, PHESENTA และ APPLICATION ตามลำดับ ในระบบ LAN นั้นจะใช้เพียงสองระดับล่างเท่านั้น เนื่องจากว่า LAN สามารถใช้ได้กับ โทโปโลยี ได้หลายแบบนั้นเอง จึงไม่ได้ใช้ระดับที่ 3 ขึ้นไป ในระดับที่ 1 นั้นเป็นระดับที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลเป็นบิต เกี่ยวข้องกับระดับแรงกันไฟฟ้า ความถี่ และคาบเวลา ต่างๆ ส่วนระดับที่ 2 นั้นเป็นระดับการแปลงข้อมูลเป็นบล็อก และเฟรม พร้อมทั้งตรวจสอบข้อผิดพลาดด้วย โพรโตคอลที่ใช้กันมากในระบบ LAN นั้นมีอยู่ 2 แบบคือโพรโตคอล แบบโทเก้นบัส และโพรโตคอลแบบ CSMA/CD เป็นต้น
    3.3 อุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ LAN
              ในระบบ LAN อุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมโยงนั้นมีไม่มากนัก เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการใช้เพื่อต่อเชื่อมโยงเครือข่ายเท่านั้น ดังนั้นอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ LAN จะสามารถแบ่งออกเป็น 2 อย่างโดยทั่วๆ ไปดังนี้
      3.3.1 สายนำสัญญาณ
      3.3.2 อุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ LAN

      3.3.1 สายนำสัญญาณ
                สายนำสัญญาณ นับถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งในระบบเครือข่ายที่ทำให้ คอมพิวเตอร์ มีการติดต่อสื่อสารกันในระยะทางที่ไกล สายนำสัญญาณ นั้นมีหลายชนิด มากมายในปัจจุบัน สามารถจำแนกได้ตามคุณสมบัติของสาย สภาพการใช้งาน และความเหมาะสมการใช้งาน สายนำสัญญาณที่ใช้ในระบบ LAN นั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นลักษณะต่างๆ คือ สายสัญญาณแบบคู่บิดเกลียว ยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ประเภทแรกเป็นชนิด UTP (Unshield Twisted Pair) เป็นสายคู่บิดเกลียว 4 คู่ใช้ยาวไม่เกิน 100 เมตร สายที่ใช้ แบคโบน นั้น เป็นสายขนาด 25 คู่สายในมัดเดียว รองรับการสื่อสารได้สูงถึง 100 Mbps และ ประเภทที่ 2 ชนิด STP (Shield Twisted Piar) เป็นสายพัฒนามาจากสาย UTP โดยมีชีลด์ห่อหุ้มภายนอก ใช้ข้อมูลการสื่อสารได้ 100 Mbps สาย STP ที่เป็นแบคโบน นี้เป็นสายที่ออกแบบมาให้ไปได้ระยะทางที่ไกลขึ้น สายโคแอกเชียล เป็นอีกประเภทหนึ่งที่ใช้กันมากเป็นสายนำสัญญาญที่ป้องกันสัญญาณรบกวนได้มากทีเดียว สายชนิดนี้ในระบบบัส และใช้เดินระยะใกล้ๆ และ เส้นใยแก้วนำแสง เป็นสายที่ใช้คลื่นแสง 500 nM-1300nM ส่งผ่านไปยังตัวกลางใยแก้ว ซึ่งจะสะท้อนกลับภายใน ทำให้มีการสูญเสียของสัญญาณน้อยมาก ทำให้ได้ระยะทางที่ไกลขึ้นขณะที่ใช้กำลังส่งที่น้อยและมีสัญญาณรบกวนที่น้อย มาก เมื่อเทียบกับ สายนำสัญญาณชนิดอื่นๆ สายชนิดเส้นใยแก้วนำแสงนี้มักใช้เป็นแบคโบน โดยจะรองรับการสื่อสารได้สูงถึง 800 Mbps หรือมากกว่า แล้วแต่ล่ะชนิดที่นำมาใช้

      3.3.2 อุปกรณ์ที่ใช้ต่อระหว่างเครือข่าย
                อุปกรณ์ที่ใช้ต่อระหว่างเครือข่ายนั้นมีด้วยกันมากมาย ด้วยคุณลักษณะของการใช้งาน แบบต่างๆ และยังคงได้รับการพัฒนาขึ้นอยู่ตลอดเวลา อุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ LAN นั้นได้ยกตัวอย่างที่ พบกันมากดังต่อไปนี้ แผ่นการ์ดเครือข่าย เป็นแผ่นอินเตอร์เฟสสำหรับคอมพิวเตอร์ หรือแผ่นการ์ด NIC มีคุณสมบัติต่างที่ขึ้นอยู่กับชนิดของเครือข่าย และชนิดของคอมพิวเตอร์ อีกด้วย ฮับ (HUP) เป็นอุปกรณ์ต่อพ่วงระหว่างสายตามมาตรฐาน 802.3 นั้นใช้เชื่อมโยงในโทโปโลยี แบบสตาร์ ใช้สาย UTP ยาวไม่เกิน 100 เมตร และยังสามารถขยาย PORT ได้มาก ดีรอมเซิร์ฟเวอร์ (CD-ROM Server) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในเครือข่ายเช่นเดียวกัน เพื่อใช้แบ่งปันการใช้ข้อมูลต่างๆ ใน CD-ROM เอง รีพีตเตอร์ (Repeater)เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ต่อระหว่างเครือข่าย เพื่อช่วยให้ขยายสัญญาณให้สูงขึ้น ทำให้ส่งข้อมูลหรือสื่อสาร ข้อมูลได้ไกลขึ้นนั้นเอง บริดจ์ (Bridge) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ต่อระหว่างระบบ โดยที่ บริดจ์ มีอยู่ 2 ลักษณะด้วยกันคือแบบ Internal Bridge และแบบ External Bridge เกตเวย์ (Gateway) เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานคล้ายกัย Bridge แต่จะใช้เชื่อมต่อกับระบบที่ใหญ่กว่ามีประสิทธิภาพที่สูงกว่า และความเร็วที่สูงกว่า และ เราเตอร์ (Router) เป็นอีกอุปกรณ์หนึ่งที่เชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย ที่มีมากกว่า หนึ่งเซกเมนต์ เพื่อกำหนดเส้นทางข้อมูลได้มากขึ้น ต่อไป

    3.4 ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในระบบ LAN
              คือ ระบบปฏิบัติการเครือข่ายประกอบด้วย ซอฟต์แวร์ สามส่วนผลิตภัณฑ์บางชนิด รวมสามส่วนไว้ในโปรแกรมเดียว บางชนิดก็ซับซ้อนกว่า แบ่งงานออกเป็นโมดูล ลายตัว ส่วนแรกเป็นส่วนประกอบอยู่ในระดับล่างสุด กับหน้าที่จัดเตรียมและดูแลการเชื่อมต่อให้คงอยู่ ซอฟต์แวร์ส่วนนี้ ประกอบด้วยโปรแกรม ไดรเวอร์ สำหรับเน็ตเวิร์คอแดปเตอร์ ส่วนที่เหลืออีกสองส่วนหนึ่งคือส่วนที่อยู่ในสถานีงานจะสร้างข่าวสาร การร้องขอ และส่งไปยังไฟล์เซิร์ฟเวอร์ ส่วนซอฟต์แวร์ ที่ใช้ในระบบ LAN จากดาวถึง 2 โปรแกรม คือ Corbon Copy และ PC Anywhere โดยจะได้อธิบายถึงการทำงานและความสามารถของมัน Corbon Copy นั้นใช้งาน Novell LX และ NetBEUI ส่วน PC Anywhere เวอร์ชัน 4.5 ของบริษัท Norton นั้นเป็นภาพที่ทำงานด้วยเมนู มีการตรวจวิเคราะห์ Hard ware ที่คงอยู่ ลักษณะการทำงานส่วนใหญ่ของโปรแกรมซึ่งจะเกี่ยวกับ การใช้ Hard disk เมื่อเวิร์กสเตชัน ต้องการใช้ข้อมูล ก็ส่งคำสั่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ เพื่อส่งให้ เซิร์ฟเวอร์ทำงาน แต่ในทางปฏิบัติงาน NetWare กระบวนการในการลำดับงานไม่สามารถกำหนดระดับ ความสามารถ ของงานได้ ดังนั้น งานที่มีการใช้งาน Hard disk มากๆ จะมีผลทำให้ การบริการกับงานอื่นๆ ช้าลงอย่างชัดเจน โปรแกรมที่เหมาะกับระบบ LAN ก็คือ ระบบงานที่ในลักษณะ Client Server ซึ่งจะเป็นการทำงานที่สมบูรณ์ที่สุด

Saturday, March 16, 2013

วิธีการเดินสายแลน

ระบบแลน
แลนมาจากคำว่า LAN(Local Area Network) คำแปลเป็นตามไทยตามศัพท์คอมพิวเตอร์ฉบับราชบัณฑิตยสถานว่า "ข่ายงานบริเวณเฉพาะที่" แต่บางครั้งก็มีผู้ใช้คำว่า "ระบบเครือข่ายท้องถิ่น" ความหมายก็คือระบบที่เชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในบริเวณเดียวกันด้วยความเร็วสูง ระบบแลนถือว่าเป็นระบบเครือข่ายพื้นฐานสำหรับการใช้งานโปรโตคอลต่างๆ ในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ รวมทั้งโปรโตคอล TCP/IP ด้วย 
เนื่องจากระบบแลนเป็นระบบที่เชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์เครือข่ายเข้าด้วยกัน โดยการใช้สายสัญญาณหรือที่เราเรียกว่าสายแลนต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง ดังนั้นการแบ่งประเภทของแลนเราจะแบ่งตามวิธีการเชื่อมต่อหรือวิธีการเดินสายสัญญาณนั้นเอง
วิธีการเดินสายแลน
เมื่อจะส่งข้อมูลถึงกันก็ต้องต่อสายเข้าหากัน วิธีการต่อสายเชื่อมระหว่างอุปกรณ์ในระบบแลนนั้นเราจะเรียกว่า "การเดินสายแลน" โดยที่นิยมกันจะแบ่งเป็น 3 วิธีครับคือ
·     เดินสายแบบบัส
·     เดินสายแบบริง
·     เดินสายแบบสตาร์
 การเดินสายแลนทั้ง 3 วิธี จะใช้อุปกรณ์และวิธีการต่างกัน และมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ปัจจุบันเราจะพบการเชื่อมต่อแบบสตาร์ มากที่สุดเพราะ สามารถตรวจสอบหาข้อผิดพลาดได้ง่าย ระบบตัวอย่างของเราก็ใช้วิธีการเดินสายแบบสตาร์เหมือนกัน แต่วิธีการเดินสายแบบอื่นก็น่าสนใจเช่นกัน เรามาลองทำความเข้าใจถึงวิธีเดินสายในแต่ละแบบกันครับ เริ่มกันที่การเดินสายแบบบัสก่อน
การเดินสายแบบบัส 
วิธีการเดินสายแบบบัสนี้ เหมือนกับการวางถนนหลักแล้วมีซอยแยกเข้าบ้าน ดังรูปที่ 3 โดยจะวางสายแลนเดินเป็นแกนกลางที่เรียกว่าบัสหรือแบ็กโบนเป็นถนนหลัก แล้วตามจุดต่างๆ ระหว่างกลางของแบ็คโบนจะมีสายเชื่อมต่อไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์เหมือนกับซอยแยกเข้าหาเครื่อง ที่ปลายสายทั้งสองข้างจะมีเทอร์มิเนเตอร์ต่ออยู่
รูปที่ 3 การเดินสายแบบบัส
 สายแลนที่ใช้ในการเดินสายแบบบัสจะมีอยู่สองชนิดคือ 
·     ชนิดบาง(thin cable) มีความยาวได้สูงสุด 200 เมตร
·     ชนิดหนา(thick cable) เดินได้ความยาวสูงสุด 500 เมตร
สายชนิดบางมักจะใช้เดินภายในอาคาร ส่วนสายชนิดหนาจะใช้เดินระหว่างอาคารหรือเชื่อมระหว่างชั้นต่างๆ ข้อดีของการเดินสายแบบบัสนี้คือ ติดตั้งง่าย อุปกรณ์ราคาถูก ไม่ต้องใช้อุปกรณ์รวมสัญญาณ(HUB) สามารถเดินสายได้ระยะทางไกล และสามารถติดตั้งอุปกรณ์ทวนสัญญาณ(repeater) เพื่อเพิ่มระยะทางในการเดินสายได้
แต่มีข้อเสียคือถ้าเกิดข้อผิดพลาดในสายสัญญาณ หรือเกิดการขาดที่จุดหนึ่งจุดใดบนบัส จะทำให้ทั้งระบบไม่สามารถให้งานได้ และการตรวจสอบหาจุดเสียทำได้ยาก ภายหลังจึงไม่นิยมการเดินสายแบบบัสนัก
การเดินสายแบบริง
รูปที่ 4 การเดินสายแบบริง
การเดินสายแบบริง(ring) หรือแบบวงแหวนนี้จะเดินสายเป็นวง จากเครื่องแรกไปยังเครื่องสุดท้ายและวนกลับมายังเครื่องแรกอีกครั้ง ดังรูปที่ 4เทคนิค การเดินสายแบบนี้มีในระบบเครือข่ายมานานแล้วแต่ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมนัก เนื่องจากจุดหนึ่งจุดใดในวงขาดจะทำให้เครื่องอื่นไม่สามารถส่งข้อมูลได้และ อุปกรณ์มีราคาค่อนข้างสูง แต่อย่างไรก็ตามการเชื่อมต่อวิธีนี้เป็นการส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงวิธี หนึ่ง
การเดินสายแบบสตาร์
ระบบแลนที่เชื่อมต่อในลักษณะสตาร์นั้นสามารถพบเห็นได้โดยทั่วไป คือระบบที่คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมีสายแลนเชื่อมไปที่ฮับเป็นตัวกลางและถ้าเดินสายตรงออกจากฮับไปยังเครื่องที่ตำแหน่งต่างๆ จะมีลักษณะคล้ายดาว จึงเรียกว่าการเชื่อมต่อแบบสตาร์ ดังรูปที่ 5
รูปที่ 5 รูปการเชื่อมต่อแบบสตาร์
ด้วยการเดินสายสัญญาณแยกแต่ละเครื่องไปยังฮับ ดังนั้นถ้าสายสัญญาณเส้นหนึ่งเส้นใดขาด ก็จะมีผลต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องที่ต่ออยู่เพียงเครื่องเดียว เครื่องอื่นสามารถยังสามารถใช้งานได้ปรกติ ทำให้การบำรุงรักษาง่าย และปัจจุบันการเชื่อมต่อในลักษณะนี้สามารถทำความเร็วสูงได้ตั้งแต่ 10 เมกกะบิตต่อวินาที ไปจนถึง 1 กิกะบิตต่อวินาที ในขณะที่ราคาอุปกรณ์ถูกลงเรื่อยๆ ทำให้ได้รับความนิยมอย่างสูง
การเชื่อมต่อแบบสตา ร์นี้ เราสามารถวางตำแหน่งของเครื่องและเดินสายอย่างไรก็ได้ไม่จำเป็นต้องวางให้ เรียงตามลำดับอย่างการเดินสายแบบบัสหรือแบบริง สายแลนแต่ละเส้นเรายาวเท่าไรก็ได้และไม่จำเป็นต้องยาวเท่ากัน โดยสายแลนแต่ละเส้นมีความยาวได้ไม่เกิน 100 เมตร(ตามคุณสมบัติ) แต่ในการใช้งานจริงมักจะใช้ความยาวไม่เกิน 85 เมตร และมักจะเดินโดยคำนึงถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความสวยงายด้วย ตัวอย่างการเชื่อมต่อวงแลนในที่ทำงานจะมีลักษณะดังรูปที่ 6 ซึ่งเรามักจะวางฮับไว้ที่มุมห้องแล้วเดินสายแลนลอดใต้พื้นยก หรือใต้หลังคาเพื่อความเรียบร้อยและสวยงาม
รูปที่ 6 แสดงตัวอย่างการเชื่อมโยงระบบแลนแบบสตาร์
รายละเอียดการเดินสายของระบบตัวอย่าง
เมื่อเดินสายสัญญาณเชื่อมโยงเครื่องแต่ละเครื่องแล้ว ให้เราวาดแผนผังของระบบเก็บไว้เพื่อประโยชน์ในการดูแลระบบต่อไป โดยจะนิยมเขียนแผนผังในลักษณะบัสโดยไม่เขียนรูปฮับ ซึ่งดูง่ายกว่า ดังรูปที่ 7
รูปที่ 7 การเขียนแผนผังเครือข่ายในลักษณะบัส
การเขียนแผนผังใน ลักษณะบัสนี้จะเขียนเส้นตรงแทนระบบเครือข่ายและมีเส้นย่อยลากจากเส้นหลักไป ยังเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่างๆ โดยไม่เขียนรูปฮับ ระบบเครือข่ายรุ่นก่อนๆ การเขียนแผนผังเครือข่ายลักษณะนี้จะหมายการเชื่อมต่อในลักษณะบัสจริงๆ แต่ในปัจจุบันจะมักหมายถึงการเชื่อมต่อแบบสตาร์โดยที่มีฮับเป็นศูนย์กลางใน การเชื่อมต่อ
 

การใช้งานระบบเครือข่าย

การใช้งานระบบเครือข่าย
ระบบนี้จะแบ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ออกเป็นสองกลุ่มคือ
กลุ่มแรก เครื่องหมายเลข 1-8 เป็นเครื่องเซิร์ฟเวอร์ ประกอบไปด้วย เว็บเซิร์ฟเวอร์ต่างๆ และ เกตเวย์ เชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เน็ต
กลุ่มที่สอง เครื่องหมายเลข 9-16 เป็นเครื่องลูกข่าย สำหรับให้ผู้ใช้งานใช้ ซึ่งติดตั้งโปรแกรมพื้นฐานไว้ดังนี้คือ
·     Microsoft window 98
·     Microsoft Office 97
·     Internet Explorer 
·     Microsoft Outlook
การใช้งานของผู้ใช้งาน
เครื่องคอมพิวเตอร์หมายเลข 9-16 นี้จะเป็นเครื่องที่ให้ผู้ใช้งานทั่วไปใช้งาน ซึ่งนอกจากจะใช้ทำงานเอกสารต่างๆ แล้ว ยังสามารถใช้ประโยชน์จากระบบเครือข่ายได้ดังนี้
·     แชร์ไฟล์ระหว่างเครื่อง
·     ใช้งานเครื่องพิมพ์ร่วมกัน
·     ใช้งานอินเทอร์เน็ต
การแชร์ไฟล์ระหว่างเครื่อง
การแชร์ไฟล์ระหว่างเครื่องคือการที่เราทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องในระบบเครือข่ายสามารถดึงข้อมูลข้ามเครื่องกันได้ ในระบบนี้เครื่องที่ 3 จะทำหน้าที่แชร์ไฟล์ใว้ให้เครื่องทุกเครื่องในระบบโดยติดตั้งฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่ไว้กับเครื่องนี้ และอนุญาตให้เครื่องทุกเครื่องในระบบสามารถดึงข้อมูลหรือเขียนข้อมูลลงไว้ที่ฮาร์ดดิสก์ของเครื่องนี้ได้ โดยที่ไม่ต้องมีฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่บนทุกเครื่อง
ผู้เขียนจะนำโปรแกรมต่างๆ ที่ต้องการแจกจ่ายให้ผู้ใช้งาน และนำโปรแกรมต้นฉบับมาเก็บไว้ที่เครื่องหมายเลข 3 นี้โดยไม่ต้องแจกจ่ายโปรแกรมให้กับผู้ใช้งานในระบบทุกคน เป็นการประหยัดเวลาและป้องกันแผ่นโปรแกรมของจริงสูญหาย ผู้ใช้งานก็สะดวกที่ไม่ต้องเก็บโปรแกรมไว้เอง และเมื่อมีการปรับปรุงข้อมูลหรือเปลี่ยนโปรแกรมผู้ใช้งานก็จะได้ใช้โปรแกรมชุดเดียวกัน
การใช้งานเครื่องพิมพ์ร่วมกัน
ในระบบนี้จะมีเครื่องพิมพ์อยู่เครื่องเดียวติดตั้งไว้กับเครื่องหมายเลข 4 ซึ่งทำหน้าที่แชร์เครื่องพิมพ์ให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ในระบบ เครื่องอื่นๆ เวลาต้องการใช้งานเครื่องพิมพ์ก็จะสั่งพิมพ์มายังเครื่องที่แชร์เครื่องพิมพ์ไว้ ซึ่งเครื่องทุกเครื่องในระบบสามารถสั่งพิมพ์ที่เครื่องนี้ได้ทำให้ลดจำนวนเครื่องพิมพ์ ไม่ต้องย้ายเครื่องพิมพ์ไปมา และยังเป็นการประหยัดอุปกรณ์อื่นด้วยเช่นหมึกพิมพ์ กระดาษ ที่ไม้ต้องสำรองไว้หลายชุด
การใช้งานระบบอินเทอร์เน็ต
เครื่องลูกข่าย(เครื่องหมายเลข 9-16) จะสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ โดยมีเครื่องเซิร์ฟเวอร์หมายเลข 1-8 เป็นทำหน้าที่ให้บริการภายในระบบ และมีเครื่อง หมายเลข 8 ทำหน้าเป็นเกตเวย์หรือทำหน้าเชื่อมต่อระบบเครือข่ายสู่อินเทอร์เน็ต เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เน็ตโดยตรง
ขั้นตอนการติดตั้งระบบ
ระบบเครือข่ายนี้จะเป็นการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เป็นวงแลน(LAN) โดยการเดินสายสัญญาณเชื่อมกันระหว่างคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง ซึ่งมีขั้นตอนโดยสรุปดังนี้
·     ติดตั้งการ์ดแลนเข้ากับแต่ละเครื่อง
·     เดินสายสัญญาณจากการ์ดแลนของเครื่องแต่ละเครื่องเข้าหากัน
·     ติดตั้งและปรับแต่งเครื่องแต่ละเครื่องให้ทำงานเป็นระบบเครือข่าย
ยังไม่ต้องกังวลถึงรายละเอียดในแต่ละขั้นตอนนะครับ เราจะกล่าวถึงภายหลังตอนนี้เราทำความเข้าใจกับภาพรวมกันก่อน 
รูปที่ 2 แสดงลักษณะการเชื่อมต่อจริงของระบบเครือข่าย
เมื่อเราเดินสายสัญญาณเชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องเข้าหากันแล้ว และจะเกิดระบบเครือข่ายพื้นฐานขึ้นดังรูปที่ 2 ระบบนี้เราจะเรียกว่าระบบแลน (LAN) 

ระบบเครือข่ายพื้นฐาน

ในตอนแรกของบทความชุด TCP/IP Networking นี้ ผู้เขียนได้แนะนำสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการใช้งานโปรโตคอล TCP/IP ไว้และวางพล็อตของบทความไว้ว่าจะกล่าวถึงมาตรฐานโปรโตคอล TCP/IP เรียงลำดับไปเรื่อยๆ จนจบ แล้วจะยกตัวอย่างการใช้งานจริง แต่พอได้อ่านเมล์ของท่านผู้อ่านที่สอบถามเกี่ยวกับระบบเครือข่ายเข้ามาแล้วก็ต้องเปลี่ยนใจ ต้องวางพล็อตบทความใหม่ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วท่านผู้อ่านสนใจเรื่องการใช้งานจริงมากกว่ามาตรฐานของโปรโตคอล TCP/IP
จดหมายฉบับล่าสุดท่านผู้อ่านถามมาว่า
"
มีเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ 16 เครื่องจะใช้มาตรฐาน TCP/IP ต้องต่อแลนอย่างไร และมีทั้งเครื่องยูนิกซ์ วินโดวส์ เน็ตแวร์ จะเชื่อมต่อกันได้หรือไม่ แล้วติดตั้งการ์ดแลนแบบไหนดีกว่ากัน เดินสายแลนแบบไหนดีกว่ากัน...ไม่เห็นบอกเลย"
ท่าทางท่านผู้อ่านจะใจร้อนพอสมควร ผู้เขียนจึงตอบเมล์กลับไปก่อนแล้วจึงกลับมาเรียบเรียงบทความใหม่ โดยให้กล่าวถึงระบบที่ใช้งานจริงก่อนว่าเขาทำกันอย่างไร แล้วจะค่อยกล่าวถึงมาตรฐานของโปรโตคอล TCP/IP โดยเริ่มจากการยกตัวอย่างระบบเครือข่ายใกล้ตัวที่ผู้เขียนออกแบบและติดตั้งไว้เอง จะได้ตอบคำถามท่านผู้อ่านได้ถูก ระบบที่จะพูดถึงต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบเครือข่ายภายในหน่วยงานของผู้เขียนทำงานอยู่ จะมาเล่าให้ฟังว่าใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง มีวิธีการติดตั้งอย่างไร และอุปกรณ์แต่ละชนิดมีหน้าที่อะไร ระบบเครือข่ายพื้นฐานที่จะกล่าวถึงนี้ใช้งานโปรโตคอล TCP/IP เป็นหลัก ซึ่งสามารถเชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างระบบปฏิบัติการเข้าด้วยกันได้เป็นอย่างดี 
บางส่วนของระบบเครือข่ายพื้นฐานมักจะถูกมองข้ามอยู่เสมอ เช่น วิธีการออกแบบ วิธีการเดินสายแลน วิธีการติดตั้งการ์ดแลน ฯลฯ เรามักจะใช้งานกันจากระบบเครือข่ายที่มีการติดตั้งไว้เรียบร้อยแล้วโดย บริษัทหรือผู้ดูแลระบบ โดยที่ไม่ได้ติดตั้งและออกแบบเอง แต่ในบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบเครือข่ายพื้นฐานตั้งแต่ตัวอย่างระบบจริง วิธีการออกแบบ ไปจนถึงการติดตั้งจนใช้งานได้ ซึ่งบทความชุดนี้จะกล่าวถึงเนื้อหาดังต่อไปนี้
·     ต้องรู้อะไรบ้างในระบบเครือข่าย TCP/IP
·      ตัวอย่างการติดตั้งระบบแลน
·      การออกแบบระบบแลนเบื้องต้น
·     อุปกรณ์พื้นฐานของระบบแลน
·     วิธีการเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้าด้วยกัน
·     การติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ในระบบแลน
·     การกำหนดไอพีแอดเดรสสำหรับอุปกรณ์ต่างๆ ในระบบแลน
·     ระบบโมเด็มการเชื่อมต่อเข้าระบบแลนด้วยระบบโมเด็ม
·     การเชื่อมต่อระบบแลนสองแห่งเข้าด้วยกัน
หัวข้อทั้งหมดนี้ผู้เขียนจะกล่าวถึงรายละเอียดเฉพาะในการใช้งานจริง และเน้นที่เทคนิคการติดตั้งอุปกรณ์ วิธีการเลือกใช้อุปกรณ์ และ การวิธีการตรวจสอบระบบ
หากมีการลงลึกในรายละเอียดผู้เขียนจะระบุแหล่งค้นคว้าหรือเอกสารอ้างอิงประกอบให้สามารถศึกษาเพิ่มเติมเองได้ ไม่เช่นนั้นเนื้อหาของบทความจะไม่จบในแต่ละตอน เรามาลองดูระบบเครือข่ายตัวอย่างกันครับ

 รูปที่ 1 ระบบเครือข่ายตัวอย่าง
ระบบเครือข่ายพื้นฐาน ที่จะยกมาเป็นตัวอย่างมานี้ เป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงานที่ผู้เขียนทำงานอยู่ซึ่งประกอบไปด้วยเครื่อง คอมพิวเตอร์จำนวน 16 เครื่อง เชื่อมต่อเป็นวงแลนผ่านฮับ(HUB) มีเครื่องเซิร์ฟเวอร์สำหรับให้บริการ เช่น เว็บเซิร์ฟเวอร์ เมล์เซิร์ฟเวอร์ ฯลฯ และเครื่องสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปประมาณ 30 คน ซึ่งและสามารถเชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เน็ตได้ โดยเครื่องแต่ละทำหน้าที่ต่างกันดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 แสดงคุณสมบัติของเครื่องในระบบตัวอย่าง
หมายเลข
ระบบปฏิบัติการ
 หน้าที่ 
 ไอพีแอดเดรส
 หมายเหตุ
1
วินโดวส์ 98
เว็บเซิร์ฟเวอร์
192.168.0.1
ติดตั้งโปรแกรม Internet Information Server(IIS)
2
วินโดวส์ 2000
เมล์เซิร์ฟเวอร ์
192.168.0.2
ติดตั้งโปรแกรม Exchange Server
3
วินโดวส์ 98
แชร์ไฟล์
192.168.0.3
ติดตั้งโปรโตคอล File and printer sharing for Microsoft Network
4
วินโดวส์ 98
แชร์เครื่องพิมพ์
192.168.0.4
ติดตั้งโปรโตคอล File and printer sharing for Microsoft Network
5
วินโดวส์ 2000
ดีเอ็นเอสเซิร์ฟเวอร์ 
192.168.0.5
ติดตั้ง service DNS
6
วินโดวส์ 2000
วินเซิร์ฟเวอร์
192.168.0.6
ติดตั้ง Window2000 แบบ Primary Domain
7
วินโดวส์ 98
เอฟทีพีเซิร์ฟเวอร์
192.168.0.7
ติดตั้งโปรแกรม Internet Information Server(IS Server)
8
วินโดวส์ 98
เก็ตเวย์
192.168.0.8
ทำหน้าที่เป็นเกตเวย์ออกสู่อินเทอร์เน็ต
9-16
วินโดวส์ 98
เครื่องลูกข่าย
192.168.0.9-16
เครื่องลูกข่ายสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป
นอกจากผู้ใช้งานภายในเครือข่ายประมาณ 30 คนแล้วระบบนี้จะรองรับผู้ใช้งานประมาณ 500 คนจากระบบเครือข่ายภายนอกด้วย ถ้าจำนวนผู้ใช้งานมากหรือน้อยกว่านี้ก็สามารถปรับจำนวนเครื่องให้เหมาะสมได้ และถ้าเป็นระบบเล็กๆ ก็ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนเท่านี้ก็ได้ อาจจะเลือกติดตั้งเฉพาะบางเครื่องตามการใช้งาน ซึ่งระบบเครือข่ายนี้เราสามารถติดตั้งได้กับระบบที่มีเครื่องตั้งแต่ 2 เครื่องเป็นต้นไปโดยมี หลักในการติดตั้งเครื่องดังนี้
·     ให้ติดตั้งเฉพาะระบบที่ต้องการก่อน เช่นในระยะแรกอาจจะเลือกติดตั้งเพียงระบบแชร์ไฟล์ และแชร์เครื่องพิมพ์ก่อนแล้วจึงค่อยเพิ่มเติมระบบอื่นภายหลัง
·     เราสามารถประหยัดเครื่องโดยการติดตั้งหลายระบบบนเครื่องเดียวกัน เช่น ติดตั้งเว็บเซิร์ฟเวอร์กับเมล์เซิร์ฟเวอร์ บนเครื่องเดียวกัน หรือติดตั้งระบบแชร์ไฟล์กับแชร์เครื่องพิมพ์ บนเครื่องเดียวกันฯลฯ 
ระบบนี้ผู้เขียนใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์98 และ วินโดวส์2000 เนื่องจากการผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับระบบปฏิบัติการวินโดวส์ สำหรับเซิร์ฟเวอร์กลางของหน่วยงานผู้เขียนใช้ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์เป็นหลัก ซึ่งสามารถรองรับการทำงานและเชื่อมโยงข้อมูลด้วยกันได้โดยไม่มีปัญหา